บอกก่อนว่านี่เขียนในมุมของคนที่เคยเลี้ยงหมาแล้วรักหมามากๆ
(เฮ้แมวก็เคยเลี้ยง ชาวแมวอย่าเพิ่งเบะปากสิ) เพราะงั้นออกตัวไว้ก่อนเลยว่าอินมาก5555คืองี้
แมสเสจที่หนังบอกกับหนังสือไม่เหมือนกันนะ ในความรู้สึกเรามันเกือบจะเหมือนคนละเรื่องไปเลยอะ
ในหนังเบลี่ย์ จะบอกเราว่าให้มีความสุขกับปัจจุบัน ทำหน้าที่ของตัวเองแล้วดำเนินต่อไป
ถามว่ามีน้ำตามั้ยมันก็มีแหละ แต่มันสไตล์หนังฟีลกู๊ดมากกว่า ดูจบแล้วอยากกอดหมาซักตัวเลย
แต่ในหนังสือ มันจะถูกเล่าในมุมมองของเบลี่ย์ เราจะได้ยินเสียงในหัวของเบลี่ย์ตลอด
และเบลี่ย์จะบอกเสมอว่าโลกนี้ขับเคลี่อนด้วยมนุษย์ และเราเป็นพระเจ้าของหมา
คนเขียนเก่งมากอะ ทำยังไงถึงเขียนได้หมาขนาดนี้เนี่ย ในส่วนของเนื้อเรื่อง
เอาง่ายๆว่ามันจะบอกว่าชีวิตของเบลี่ย์ตั้งแต่เริ่ม จนมาเจออีธาน ชีวิตของเบลี่ย์เกิดมาเพราะอะไร
และในระหว่างทางการมีตัวตนของมัน ได้ช่วยเหลือและถูกช่วยเหลือโดยใครบ้าง
มันต่างกันตรงนี้…..
ซึ่งเราบอกเลยว่าหนังสือทำร้องไห้แบบสะอึกสะอื้นอย่างมาก
แถมในแต่ละครั้งที่เบลี่ย์ตายมันเศร้ามากแบบ โอยจะขยี้ไปถึงไหน๊ 55
สรุปได้จากการอ่านเรื่องนี้นะ หมามันไม่สนหรอกว่าเจ้านายมันจะเป็นยังไง ไม่สวย อ้วน หรือขี้เหร่ยังไง
ถ้ามีโอกาสที่มีหมาในชีวิตแล้วจะเข้าใจ
เราแนะนำให้อ่านหนังสือมากกว่าอันนี้พูดจริงจัง
หลังจากนี้คือจะสปอยล์หนังสือ ใครตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือข้ามไปก่อนนะ
ชีวิตของเบลี่ย์นั้น เกิดมาเริ่มแรกยังไม่เจออีธานนะ แต่เบลี่ย์จะได้รู้จักการที่ถูกรักโดยมนุษย์ค่ะ
ต่อมาเบลี่ย์จะได้เจออีธาน และจะได้เข้าใจว่าชีวิตที่มีคนที่รักมันและมันก็รักมนุษย์นั้นเป็นยังไง
ซึ่งตรงนี้สำคัญมากเพราะหลายสิ่งที่อีธานทำนั้นเป็นความสุขและเป็นทั้งชีวิตของเบลี่ย์เลย
จากการที่ได้เกิดแล้วตายหลายครั้งหลายครานั้น ทำให้ในที่สุดเบลี่ย์ก็เข้าใจ ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้
ที่ได้เจอมาทั้งหมด สุดท้ายแล้วเพียงเพื่อมาบอกกับอีธานในตอนสุดท้ายนั่นเองว่า
มันเกิดมาเพื่ออยู่เคียงข้างกับเด็กชายของมันอย่างจงรักภัคดีจนวาระสุดท้ายนั่นเอง
เขียนไปก็น้ำตาไหลอีกรอบแล้ววววว
ชีวิตหมามันก็แค่นี้เอง